1. ความหนาและความหนาแน่นของวัสดุ (Thickness and Density): วัสดุที่มีความหนาและความหนาแน่นสูงสามารถดูดซับและสะท้อนเสียงได้ดี เช่น แผ่นยิปซัม (gypsum board) หรือแผ่นคอนกรีต

2. ความเป็นฉนวนเสียง (Sound Insulation): วัสดุที่มีความสามารถในการเป็นฉนวนเสียงสูงสามารถป้องกันเสียงจากการทะลุผ่านได้ เช่น แผ่นโฟมอะคูสติก (acoustic foam)

3. ความหนาแน่นของโครงสร้าง (Structural Density): วัสดุที่มีโครงสร้างหนาแน่นและมีการประกบกันของหลายชั้นจะช่วยลดการส่งผ่านเสียง เช่น แผ่นไม้อัด (plywood) ที่ประกบด้วยชั้นฉนวนเสียง

4. การติดตั้งที่เหมาะสม (Proper Installation): การติดตั้งแผ่นกั้นเสียงอย่างถูกต้อง เช่น การใช้ซีลกันเสียง (soundproof seals) ในบริเวณขอบและรอยต่อ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการกันเสียงรบกวน

ตัวอย่างวัสดุ คุณสมบัติ และค่าตัวเลขประสิทธิภาพ (STC)

แผ่นกั้นเสียง

ยิปซัมบอร์ดเสริมกันเสียง (Soundproof Gypsum Board):

      – คุณสมบัติ: โครงสร้างหนาแน่น มักเสริมด้วยชั้นกันเสียง

      – ประสิทธิภาพ: ค่า Sound Transmission Class (STC) ประมาณ 50-60 ซึ่งหมายความว่าสามารถลดเสียงรบกวนได้ 50-60 เดซิเบล

ประตูกันเสียง (Soundproof Doors):

     – คุณสมบัติ: ทำจากวัสดุที่มีความหนาแน่นสูง เช่น ไม้เสริมกันเสียงหรือโลหะ

      – ประสิทธิภาพ: ค่า STC ประมาณ 40-50 ซึ่งหมายความว่าสามารถลดเสียงรบกวนได้ 40-50 เดซิเบล

แผ่นไม้อัดหนา (Thick Plywood):

     – คุณสมบัติ: ทำจากวัสดุที่มีความหนาแน่นสูง

     – ประสิทธิภาพ: ค่า STC ประมาณ 35-40 ซึ่งหมายความว่าสามารถลดเสียงรบกวนได้ 35-40 เดซิเบล(ควรใช้ร่วมกับวัสดุอื่นๆเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกันเสียงเพิ่มมากขึ้น)

STC Rating Chart

STC

What can be heard at this level

25

Soft speech can be heard and understood

30

Normal speech can be heard and understood

35

Loud speech can be heard and understood

40

Loud speech can be heard, but not understood

45

The threshold at which privacy begins

50

Loud sounds can be heard, but are very faint

60+

At this level, good soundproofing begins. Neighbors generally are not disturbed by very loud speech from inside.

การเลือกใช้วัสดุกันเสียงรบกวนมีหลายปัจจัยที่ควรคำนึงถึงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ คุ้มค่า และมีความสวยงาม ดังนี้
  1. ประสิทธิภาพในการกันเสียง (Soundproofing Performance)

    • ตรวจสอบค่าสัมประสิทธิ์ในการกันเสียง (STC) และการดูดซับเสียง (NRC) ของวัสดุเพื่อให้แน่ใจว่าวัสดุนั้นสามารถลดเสียงรบกวนได้ตามต้องการ

  2. ความหนาและความหนาแน่น (Thickness and Density)

    • วัสดุที่มีความหนาและความหนาแน่นสูงมักมีประสิทธิภาพในการกันเสียงดีกว่า ควรเลือกวัสดุที่มีความเหมาะสมกับพื้นที่ที่ต้องการติดตั้ง

  3. ความยืดหยุ่นและความแข็งแรง (Flexibility and Durability)

    • วัสดุควรมีความยืดหยุ่นพอที่จะติดตั้งได้ง่ายและแข็งแรงพอที่จะใช้งานได้นาน

  4. การติดตั้ง (Installation)

    • การติดตั้งวัสดุกันเสียงควรทำอย่างถูกต้องเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ควรเลือกวัสดุที่ติดตั้งง่ายและมีคู่มือการติดตั้งที่ชัดเจน

  5. ความสวยงามและความเหมาะสมกับการตกแต่ง (Aesthetics and Suitability)

    • วัสดุกันเสียงควรมีรูปลักษณ์ที่เข้ากับการตกแต่งภายในและไม่ขัดขวางการใช้งานพื้นที่

  6. ความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม (Safety and Environmental Impact)

    • วัสดุควรปลอดภัยต่อสุขภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ควรตรวจสอบว่ามีสารเคมีอันตรายหรือไม่

  7. ความเข้ากันได้กับโครงสร้างเดิม (Compatibility with Existing Structure)

    • ตรวจสอบว่าวัสดุที่เลือกสามารถติดตั้งร่วมกับโครงสร้างเดิมได้โดยไม่ทำให้เกิดความเสียหาย

  8. การควบคุมความชื้นและการระบายอากาศ (Moisture Control and Ventilation)

    • วัสดุควรมีความสามารถในการควบคุมความชื้นและไม่ทำให้เกิดการสะสมของเชื้อรา ควรพิจารณาการระบายอากาศที่ดีในพื้นที่ที่ติดตั้งวัสดุกันเสียง